แม้อย่างในประเทศสหรัฐอเมริกาคาดว่าจะเกิดปัญหาขาดแคลนบุคคลากรทางการแพทย์คาดว่าจะประสบปัญหาขาดแคลนแพทย์ 139,000 คน และพยาบาล 63,000 คนภายใน 5 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ในทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส การขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์กลายเป็นแรงผลักดันสำคัญให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัย
ในบทความนี้จะพาคุณไปสำรวจ 3 เทรนด์ Health Tech ที่กำลังปฏิวัติวงการแพทย์ในปี 2025
AI: เมื่อปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นผู้ช่วยแพทย์ที่ทรงพลัง
ปี 2024 ถือเป็นปีทองของ AI อย่างแท้จริง เมื่อหลากหลายอุตสาหกรรมเริ่มนำ AI มาปรับใช้ในกระบวนการทำงาน และวงการแพทย์ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ จากข้อมูลของ CB Insights แสดงให้เห็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของ AI ในวงการแพทย์ ทั้งในแง่การลงทุนและการพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดต่อศักยภาพของ AI ในวงการแพทย์ ปัจจุบันได้มีการนำ AI เข้ามาช่วยในเรื่องของการโรค (Disease Management)
AI ตรวจจับรอยโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
โรคภัยเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น แต่ถ้าหากเกิดขึ้นแล้วก็คงจะดีถ้าผู้ป่วยได้มีโอกาสรู้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นและรักษาได้ทันท่วงที ปัจจุบันได้มีการพัฒนา AI เพื่อตรวจจับรอยโรคจากอวัยวะหรือพฤติกรรมต่าง ๆ
- โรคอัลไซเมอร์: AI จาก RetiSpec ช่วยตรวจหาอัลไซเมอร์ในระยะเริ่มต้นโดยใช้ AI วิเคราะห์ภาพจอประสาทตา (Retina)
- โรคระบบทางเดินอาหารส่วนบน: AI จาก CytedHealth ตรวจหาความผิดปกติในระบบทางเดินอาหารส่วนบน
- โรคหัวใจ: ระบบ AI จาก Cardio intelligence วิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพเพื่อประเมินความเสี่ยงโรคหัวใจ
- ภาวะซึมเศร้า: ระบบ AI จาก LANGaware วิเคราะห์การพูดและเสียง เพื่อตรวจจับโรคทางสมองและสุขภาพจิตตั้งแต่ระยะเริ่มแรก
- โรคมะเร็ง(ทั่วไป): ระบบ AI สำหรับตรวจจับมะเร็งโดยทั่วไปในระยะเริ่มต้นจาก Harbinger Health
- โรคตับ: AI จาก Oncoustics ในการตรวจหาความผิดปกติของตับ
- โรคตา: AI จาก Mediwhale ช่วยตรวจคัดกรองโรคตาเบื้องต้น โดยดูจากภาพถ่ายจอประสาทตาเพียงภาพเดียว สามารถบอกได้ว่ามีความผิดปกติที่จอประสาทตา
- โรคทรวงอก: AI จาก Coreline เน้นการวินิจฉัยโรคที่เกี่ยวกับทรวงอกและระบบหายใจ
รู้หรือไม่ 💡 นวัตกรรม AI ที่ช่วยสแกนหารอยโรคที่อาจมองเห็นได้ยากของไทยเองก็มีนะ เรียนรู้จากภาพถ่ายคนไทยด้วย! Inspectra CXR ตรวจหารอยโรคจากภาพเอกซเรย์ปอด และ Inspectra MMG ตรวจหามะเร็งเต้านม
ปัจจุบันทางการแพทย์มีการนำ AI เข้ามาใช้มากขึ้นและจากสถิติล่าสุด มี AI ที่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) แล้วกว่า 1,000 ระบบ เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจาก 223 ระบบในปี 2023 โดยส่วนใหญ่อยู่ในสาขารังสีวิทยา
ความน่าสนใจไม่ได้อยู่แค่ตัวเลขที่เพิ่มขึ้น แต่อยู่ที่ความสามารถของ AI ที่พัฒนาไปไกลกว่าที่คาดคิด ตัวอย่างเช่น Med-Gemini ระบบ AI ทางการแพทย์ล่าสุดจาก Google ที่สามารถทำคะแนนในการสอบใบประกอบวิชาชีพแพทย์ได้สูงถึง 91.1% แซงหน้า AI รุ่นก่อนหน้าอย่าง Med-PaLM 2
นอกจากนี้ในปัจจุบันยังมีการนำ Gennerative AI เข้ามาช่วยในการทำงาน ลดภาระงานเอกสาร ให้คุณหมอได้โฟกัสกับคนไข้ดีได้มากยิ่งขึ้น เทคโนโลยีที่ว่านี้คือ Ambient Scribe ที่ออกแบบมาช่วยบุคคลากรทางการแพทย์ โดยการถอดข้อมูลจากเสียงการสนทนาระหว่างแพทย์และคนไข้แบบเรียลไทม์ แต่ไม่ได้มีการไม่บันทึกเสียงเก็บไว้ และสร้างเอกสารทางคลินิกที่เหมาะสมเพื่อบันทึกลงในแฟ้มผู้ป่วยให้โดยอัตโนมัติเพื่อให้เก็บข้อมูลได้ครบถ้วนและประหยัดเวลาของแพทย์อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า Generative AI จะยังไม่ได้รับการรับรองจาก USFDA แต่บทบาทของ AI ในการช่วยแพทย์วินิจฉัยโรคและวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วยกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และในอนาคตเราอาจจะได้เห็นเทคโนโลยีเหล่านี้พาเราเข้าใกล้เป้าหมายของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic wellness) และการแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized medicine) ได้อย่างแท้จริง จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไม AI ยังคงจะเป็นเทรนด์ Health tech ที่น่าจับตามองในปี 2025 นี้
RNA Therapeutics: ปฏิวัติการรักษาด้วยโมเลกุล RNA
หากพูดถึง RNA Therapeutics หลายคนอาจไม่คุ้นหู แต่ถ้าพูดถึงวัคซีน mRNA สำหรับ COVID-19 คงจะมีคนเริ่มเอ๊ะ อ๋อกันมากขึ้น นี่คือหนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นของเทคโนโลยี RNA Therapeutics ที่กำลังปฏิวัติวงการรักษาโรค
RNA เป็นโมเลกุลที่มีบทบาทสำคัญในกระบวนการทางชีวภาพต่างๆ ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเกี่ยวข้องกับการถอดรหัสและการแสดงออกของข้อมูลทางพันธุกรรม ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบันได้มีการนำเทคโนโลยี RNA therapeutics เข้ามาเพื่อจัดการกับโปรตีนเดิมที่ ไม่สามารถรักษาได้ (undruggable) ซึ่งพบในโรคทางพันธุกรรม มะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด และโรคอื่นๆ
การรักษาด้วย RNA แบ่งออกเป็น 3 แนวทางหลัก:
- RNA interference (RNAi): เปรียบเหมือน “สวิตช์ปิด” ที่หยุดการสร้างโปรตีนที่ก่อให้เกิดโรค ทำงานโดยการจับและทำลาย RNA ที่จะสร้างโปรตีนที่ไม่พึงประสงค์
- Antisense Oligonucleotides (ASOs): ทำหน้าที่เป็น “บรรณาธิการ” แก้ไขรหัสพันธุกรรมที่ผิดปกติ เหมือนการแก้ไขข้อความที่พิมพ์ผิดก่อนที่จะถูกนำไปใช้
- Messenger RNA (mRNA): เป็นเสมือน “คู่มือสอน” ให้เซลล์สร้างโปรตีนที่จำเป็น เช่น แอนติบอดี
ความสำเร็จของเทคโนโลยีนี้เห็นได้ชัดจากบริษัท Alnylam Pharma ที่มีผลิตภัณฑ์ RNAi ได้รับการรับรองจาก FDA แล้ว 5 รายการ และมีอีก 15 รายการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ในขณะเดียวกันก็มีบริษัทสตาร์ทอัพจำนวนมากที่เข้ามาในตลาดนี้และพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเอง ซึ่งนั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไม RNA Therapeutics ถึงเป็นเทรนด์ Health tech ที่น่าจับตามองในปี 2025 นี้
Wearables 2.0 – BCIs And Implants
เมื่อปีก่อน ๆ หน้านี้เราจะพูดถึง อุปกรณ์ wearables ที่ใส่ประจำเพื่อเก็บข้อมูลสุขภาพของเราได้ตลอดเวลาเพื่อให้เราเห็นเทรนด์ข้อมูลสุขภาพของเราตลอด แต่ปีนี้สิ่งที่เราไม่พูดถึงไม่ได้คือ wearables 2.0 ที่เป็นการยกระดับอุปกรณ์ wearables ให้เชื่อมต่อกับมนุษย์ได้เชิงลึกยิ่งขึ้น ซึ่งก็คือการชื่อมต่อสมองมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ หรือ brain-computer interfaces (BCIs)
เทคโนโลยีที่ทำให้เหมือนเราอยู่ในหนัง sci-fi นั้นมีการพัฒนาอยู่จริงเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ไม่สามารถเคลื่อนไหวอวัยวะได้เลย หรือที่เรียกว่ามีสภาวะ Locked-in ให้สามารถสื่อสารได้ผ่านอุปกรณ์อื่น โดย brain-computer interfaces (BCIs) แบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ โดยอิงจากระดับการรุกล้ำเข้าไปในร่างกายของเครื่องมือ (Invasiveness) ได้แก่ รุกล้ำเข้าสู่ร่างกาย (Invasive) และไม่รุกล้ำเข้าสู่ร่างกาย (Non-invasive)
แม้ว่า BCIs แบบไม่รุกล้ำจะดูเหมือนทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า เพราะไม่ต้องผ่าตัดฝังชิป แต่ความท้าทายสำคัญคือความแม่นยำในการอ่านคลื่นสมองที่ยังไม่สมบูรณ์แบบ นี่อาจเป็นที่มาของการพัฒนา BCIs แบบรุกล้ำเพียงเล็กน้อย (Minimally Invasive BCIs) ที่พยายามสร้างสมดุลระหว่างความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการใช้งาน
ตัวอย่างของ wearables 2.0 ที่ได้รับความสนใจมาก ๆ คือ Neuralink โปรเจคเชื่อมต่อสมองมนุษย์กับคอมพิวเตอร์ ของอีลอน มัสก์ โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยผู้ป่วยที่มีภาวะอัมพาตขั้นรุนแรงให้สามารถกลับมาสื่อสารได้อีกครั้งโดยใช้เพียงสัญญาณประสาท ซึ่งหมายความว่าผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตขั้นรุนแรง เช่น เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (ALS) อาจสามารถกลับมาสื่อสารกับคนที่รักได้อีกครั้งในอนาคต โดยการเคลื่อนเคอร์เซอร์และพิมพ์ข้อความด้วยความคิดของตนเอง โดยโปรเจคนี้ USFDA ได้อนุญาตให้เริ่มมีการทดลองในมนุษย์ได้แล้วในปี 2023 และเมื่อปี 2024 ที่ผ่านมาอีลอน มัสก์ ได้เผยข่าวดีว่าสามารถฝังชิป Neuralink ในสมองสำเร็จ ผู้ป่วยสามารถควบคุมเมาส์ได้จากความคิดแล้ว (อ่านเพิ่มเติม: Elon Musk says first Neuralink patient can control a computer mouse through thinking)
แต่การแข่งขันในวงการนี้ไม่ได้มีเพียง Neuralink เท่านั้น Synchron บริษัทที่ได้รับการสนับสนุนจากทุนใหญ่อย่างเจฟฟ์ เบโซส์ เจ้าพ่อแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซระดับโลกอย่าง Amazon และ บิล เกตส์ ผู้ก่อตั้ง Microsoft ก็ได้พัฒนา Stentrode ที่โดดเด่นด้วยนวัตกรรมการฝังชิปโดยไม่ต้องผ่าตัดกะโหลกศีรษะ ความสำเร็จของ Synchron เริ่มปรากฏชัดตั้งแต่ปี 2021 เมื่อผู้ป่วยสามารถส่งข้อความผ่านทวิตเตอร์ได้สำเร็จ และล่าสุดในปี 2024 ได้รับการอนุมัติจาก USFDA ให้ติดตั้งอุปกรณ์ในระยะยาว นับเป็นก้าวสำคัญที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาด และตอนนี้ Synchorn กำลังก้าวไปอีกขั้นด้วยการนำรวมกับ ChatGPT เพื่อให้การสั่งงานอุปกรณ์ได้ง่ายขึ้นและลดเวลาการพิมพ์แต่ละคำที่จากเดิมที่ต้องใช้เวลามาก (อ่านเพิ่มเติม: Synchron has integrated ChatGPT into its brain implants)
เทคโนโลยี brain-computer interfaces (BCIs) ก็ดูจะสามารถเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาสุขภาพที่ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตของผู้ป่วยจำนวนมากและอาจเป็นความหวังใหม่สำหรับผู้ป่วยและครอบครัวที่รอคอยการกลับมาของการสื่อสารที่สูญหายไป อย่างไรก็ตามก็ยังคงเป็นเทคโนโลยีที่มีคำถามทางจริยธรรมมากมาย และเราอาจจะได้เห็นการพูดคุยและกระแสของ BCIs ที่มากขึ้นในปี 2025
อนาคตของ Health Tech
เทคโนโลยีทั้งสามด้านนี้ไม่ได้ทำงานแยกจากกัน แต่กำลังผสานกันเพื่อสร้างระบบสาธารณสุขที่ดีขึ้น สิ่งสำคัญคือ เทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้มาแทนที่บุคลากรทางการแพทย์ แต่มาเสริมประสิทธิภาพการทำงาน ช่วยให้การรักษามีความแม่นยำมากขึ้น และทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาที่มีคุณภาพได้ง่ายขึ้น อีกทั้งจะให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นกุญแจสำคัญในการรับมือกับความท้าทายด้านสาธารณสุขในอนาคต
ที่มา
- ข้อมูลจากรายงาน CB Insights Tech Trends 2025
- Advancing medical AI with Med-Gemini
- The Current State Of Almost 950 FDA-Approved, AI-Based Medical Devices
- Artificial Intelligence and Machine Learning (AI/ML)-Enabled Medical Devices:
- Health tech innovations in 2025
- 10 healthcare technology trends for 2025
- **CK-12. “DNA and RNA.” Retrieved November 29, 2022 from https://www.ck12.org/book/ck-12-biology/section/7.1/**
- Maiseli B, Abdalla AT, Massawe LV, Mbise M, Mkocha K, Nassor NA, Ismail M, Michael J, Kimambo S. Brain-computer interface: trend, challenges, and threats. Brain Inform. 2023 Aug 4;10(1):20. doi: 10.1186/s40708-023-00199-3. PMID: 37540385; PMCID: PMC10403483.
- Elon Musk’s brain implant company Neuralink announces FDA approval of in-human clinical study
- Synchron’s plan to beat Neuralink in the neuroprosthetic BCI race
- Synchron Announces First Direct-Thought Tweet, “Hello World,” Using an Implantable Brain Computer Interface
- Synchron’s BCI meets primary endpoint in feasibility tria